.

.

ทิดน้อง



เมษายนที่ผ่านมา สบโอกาสดี โต๊ะช่างหยุดช่วงสงกรานต์หลายวัน
ผู้เขียนจึงขอลองประสบการณ์ ครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้หญิง โกนหัวบวชชีเสียเลยค่ะ

หลาย ๆ คนเข้ามาถาม "ทำไมถึงบวช?"
เรื่องผู้หญิงโกนหัวบวชนี่ ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ดูแปลกในสายตาคนทั่วไป
ส่วนใหญ่คาดเดาว่า เหตุผลหลัก ๆ ที่ผู้หญิงยอมโกนหัวบวชนั้นคง "อกหัก" แน่ ๆ :)

แต่สำหรับผู้เขียนเอง... ด้วยความที่สนใจศึกษาธรรมตั้งแต่เด็ก
เนื่องจากแม่(เจ๊แมว) เป็นตัวอย่างที่ทำให้ดู อยู่ให้เห็น
เรื่องการเข้าวัด ทำบุญ หรือการถือศีล 8 ในโอกาสวันสำคัญ ๆ ก็ดี
ภาพของการบวชก็ดี จึงเป็นเรื่องที่แสนธรรมดามาก ๆ ค่ะในสายตาผู้เขียน

และด้วยความเป็นคนที่ช่างสงสัย และชอบทดลองอะไรใหม่ ๆ

ครั้งนี้จึงคิดว่า ...
เอ...การโกนผม เป็นแม่ชี... จะเกิดความแตกต่างจากการถือศีล 8 ไหมหนอ...?
แล้วระหว่างการเป็นแม่ชี โกนหัว-นุ่งขาวห่มขาว
กับการใช้ชีวิตแบบฆราวาสที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ให้ความรู้สึกที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

ปฏิบัติการบวชชีจึงเกิดขึ้น โดยได้รับการอนุญาตการเจ๊แมวเป็นที่เรียบร้อย




ด้วยความที่เป็นช่วงสงกรานต์ที่ชาวบ้านนิยมมาทำบุญและปฏิบัติธรรมกันอย่างล้นหลาม
ประกอบกับเป็นช่วงที่เด็กหญิงตัวน้อย ๆ มาบวชแม่ชีน้อยช่วงซัมเมอร์ด้วย
"ความเงียบ" "ความสงบ" "ความวิเวก" จึงมิอาจอยู่ให้ผู้เขียนได้พบเจอได้เลย

ฟัง ๆ อาจเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังใช่ไหมล่ะคะ
มาบวชหาความสงบแท้ ๆ แต่กลับเจอแต่ความจ๊อกแจ๊กจอแจของเด็ก ๆ ร่วมร้อย...
แรก ๆ ผู้เขียนก็รู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน...ทว่า...หลังจากที่ได้เรียนรู้เนื้อหาธรรมะ
และฝึกปฏิบัติแล้ว... ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าโชคดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอสถานการณ์แบบนี้
ทำอย่างไร ที่จะอยู่กับโลกได้อย่างที่โลกเป็น...มิใช่หนีโลก...กระทบแต่ไม่กระเทือน

ใช่แล้ว... ชีวิตที่เป็นสุข และศานติ มิใช่การหลบหนีโลกและผู้คน ไปอยู่กับความเงียบ
หากหัวใจของเราวุ่นวายและเปี่ยมล้นไปด้วยความอยาก (แม้แต่ความอยากสงบ) แล้วไซร้
ต่อให้หนีไปอยู่คนเดียวจนสุดหล้าฟ้าเขียว ก็มิได้ชื่อว่าอยู่ใกล้ความสงบได้เลย




ลูกสาวพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ย่อมน้อมนำธรรมะแห่งพระพุทธองค์น้อมนำสู่ชีวิต
และพบกับความสุขศานติได้ ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเป็นเช่นไร
จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในกระแสธรรม และดำเนินตามรอยพ่ออย่างแท้จริง...

สึกออกมาคราวนี้... จึงได้รู้ว่า...
เครื่องแบบนักบวชนั้นมีส่วนช่วยให้สนับสนุนให้เราอยู่ "ในทาง"ง่ายขึ้นก็จริง
แต่มนุษย์จะถึงฝั่งหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่การโกนผมห่มผ้าเท่านั้น...อยู่ที่ใจต่างหาก...

กระนั้นก็ดี... หากมีโอกาสอีกครั้ง ผู้เขียนก็อยากขอลองชีวิตนักบวชอีกอยู่นั่นเอง
...ทำอย่างไรได้ ก็ใจมันรักนี่นา...เนอะ !


ธรรมสวัสดีค่ะ
_/l\_


-------------------------------------------


“มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว...
ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ...
นั้นมิใช่สรณะอันเกษม นั้นมิใช่สรณะอันสูงสุด...
เขาอาศัยสรณะ นั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้...

ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว...
เห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ด้วยปัญญาอันชอบแล้ว...
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้...
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์...

นั้นแหละ เป็นสรณะอันเกษม นั้นเป็นสรณะอันสูงสุด...
เขาอาศัยสรณะ นั้นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.”

(คติธรรมใน เขมาเขมะสรณะทีปิกะคาถา)